ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ อาศรมสยาม-จีนวิทยา จัดงานเสวนาทางวิชาการ เรื่อง ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยและจีน โดยมี ศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์พหุวัฒนธรรมศึกษาและนวัตกรรมทางสังคม และ ผศ.ดร.กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ ปรัชญา ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นวิทยากร และ ผ.ศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา เป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น ๔ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาระสำคัญของการบรรยายสรุปได้ ดังนี้
การนำเสนอโดย ศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์
วิธีการเขียนทางประวัติศาสตร์ในช่วงต้น เนื่องจากเป็นรัฐที่เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นสำคัญ เชื่อว่าอำนาจเหนือธรรมชาติผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง กระบวนการอธิบายที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ อิงอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมา เห็นได้จากวรรณกรรม พงศาวดาร กฎหมาย หลักฐานหลายประเภทที่มีบันทึก เรื่องที่บันทึกส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ เพราะถือว่าเป็นศูนย์รวมของความสำคัญ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จึงยึดพระมหากษัตริย์เป็นเกณฑ์ ใช้ชุดความคิดของอำนาจเหนือธรรมชาติ บุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ ศาสนา พุทธทำนายเป็นแก่นหลักของกระบวนการการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นโลกทัศน์ของคนยุคจารีต นับถือในบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ งานเขียนจึงออกมาเป็นการให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์นิพนธ์ อาจไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป็นหลัก แต่เป็นการกล่าวถึงกระบวนการอธิบายที่ผู้เขียนต้องการอธิบายเป็นสำคัญ สื่อถึงโลกทัศน์ ความคิดของผู้เขียนที่อาจมีอคติ เมื่อรับอิทธิพลตะวันตกเข้ามาจึงเริ่มตั้งคำถามกับการอธิบายแบบเดิม ชุดความคิดความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ร่วมกันกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการรัฐยุคใหม่ สร้างความรู้สึกชาตินิยม ดังนั้นในยุคนี้ข้อเท็จจริงอาจเป็นอีกอย่าง แต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกอาจเป็นอีกอย่างก็ได้ ต่อมามีผู้ได้รับการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์จากตะวันตก ไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ในแนวชาตินิยมอีกต่อไป แต่เขียนในแนวเสนอข้อเท็จจริง เขียนตามความเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
การนำเสนอโดย ผศ.ดร.กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์
การแบ่งความรู้ของจีนแบ่งออกเป็น ๔ แขนงใหญ่ ได้แก่ ๑. 经部 (จิงปู้) กล่าวถึงขงจื่อ อุดมการณ์ของรัฐจีน ๒.史 (สื่อ)บันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมด ยกเว้นงานเขียนประวัติศาสตร์ที่เป็นตำราเรียนของขงจื่อ ๓. 子 (จื่อ) กล่าวถึงนักคิด ๔. 集 (จี๋) กล่าวถึงวรรณกรรม กวีนิพนธ์ ในที่นี้จะกล่าวถึง史 คือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์จีน แบ่งเป็น ประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบจารีต และสมัยใหม่ คือ เมื่ออิทธิพลตะวันตกหลั่งไหลเข้ามา โดยเริ่มนับประวัติศาสตร์นิพนธ์สมัยใหม่ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐
ประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบจารีต
การวางรากฐานทางประวัติศาสตร์ เกิดที่ราชวงศ์ฮั่น จึงใช้ราชวงศ์ฮั่นเป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุค หลังจากราชวงศ์ฮั่นจะเขียนตามแบบอย่าง ตามขนบที่วางรากฐานไว้ในราชวงศ์ฮั่น แบ่งเป็น ยุคก่อนราชวงศ์ฮั่น และยุคหลังราชวงศ์ฮั่น
ยุคก่อนราชวงศ์ฮั่น
กำเนิดตัวอักษรจีน เป็นอักษรกระดองเต่า กระดูกสัตว์ ใช้ในพิธีทำนาย ตีความเหตุการณ์ต่างๆ งานเขียนที่ปรากฏในยุคนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรับใช้การเมืองการปกครองและเป็นบทเรียนแก่ผู้ปกครอง ตัวอย่างงานเขียน เช่น 《春秋》(ชุนชิว) เรียบเรียงโดยขงจื่อ บันทึกเรื่องราวของหลายรัฐ แต่ปัจจุบันเหลือแค่เรื่องแคว้นหลู่ เนื้อหาเกี่ยวกับ การสวามิภักดิ์ การสร้างพันธมิตร การทำสงคราม และปรากฏการณ์ธรรมชาติราชวงศ์ฮั่น ยุคแห่งการวางรากฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์ ก่อนถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ฉินเป็นจักรวรรดิ (Centralized Empire) ถึงราชวงศ์ฉินจะล่มสลายแต่ราชวงศ์ฮั่นก็รับเอามรดกสมัยราชวงศ์ฉินมา คือ การเกิดรัฐที่มีอำนาจรวมศูนย์ ที่มีจักรพรรดิกุมอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน จิ๋นซีฮ่องเต้มี “พระเดช” แต่ไม่มี “พระคุณ” ราชวงศ์ฮั่นจึงต้องมีอุดมการณ์บางอย่างให้ประชาชนยอมสวามิภักดิ์ จึงต้องยึดโยงประชาชนเข้ากับรัฐ ดังนั้น ขงจื่อจึงกลายเป็นอุดมการณ์หลักของสังคมในยุคนี้มีต้นแบบการเขียนที่เป็นมาตรฐานคือแบบของซือหม่าเชียน และ ปานกู้ บันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชียนชื่อว่า史记 (สื่อจี้) เขียนจากความสนใจของตนเอง ไม่ได้รับอิทธิพลหรือข้อจำกัดจากรัฐ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบของการเขียนประวัติศาสตร์จีน มีรูปแบบการเขียนที่ครอบคลุมทั้งเวลา (สมัยหวงตี้ถึงฮั่นอู่ตี้) สถานที่ (ครอบคลุมถึงท้องถิ่นต่างๆ ของจีน) และเนื้อหาครอบคลุมหลายด้านเช่น การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม นอกจากนี้ไม่เพียงแค่เล่าเรื่อง แต่มีทั้งการวิเคราะห์ ตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา แยกข้อเท็จจริงกับความเห็นของตนเองชัดเจน จากตำราประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชียนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบัน ทั้งยังเห็นวัฏจักรในประวัติศาสตร์ และการวิพากษ์บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีความหลากหลาย ชี้ให้เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจต่อการพัฒนาสังคม ทำให้แตกต่างจากงานเขียนของคนอื่นที่กล่าวถึงแต่เรื่องในราชวงศ์ งานเขียนของปานกู้ ชื่อว่า 汉书 (ฮั่นซู) เขียนถึงแค่ราชวงศ์ฮั่นเพียงราชวงศ์เดียว เนื่องจากรับรูปแบบการเขียนมาจากซือหม่าเชียน จากนั้นนักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ จึงเขียนแบบปานกู้มาเรื่อยๆ ทำให้ประวัติศาสตร์จีนไม่สามารถร้อยเรียงปะติดปะต่อกันได้
ดังนั้น ปัญหาของประวัติศาสตร์นิพนธ์จีนจึงเป็นเรื่องของราชวงศ์ต่างๆที่ไม่ร้อยเรียงกันตั้งแต่อดีตถึงปจบ เป็นปัญหาประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบจารีต เมื่อเข้าสู่สมัยใหม่จึงไม่สามารถสร้างความทรงจำร่วมของคนในชาติได้
นางสาวพิชชาภา ทุมดี (สรุปและเรียบเรียง)
ผู้ช่วยนักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยจีนศึกษา