เสวนา “ฮ่องกงทำไมต้องประท้วง”
เมื่อวันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ร่วมกับ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “ฮ่องกง ทำไมต้องประท้วง” ณ ห้อง 304 อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นางสาวประภาภูมิ เอี่ยมสม ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ วอยซ์ออนไลน์ เป็นวิทยากร และ รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ สาระสำคัญแบ่งเป็นด้านกฎหมายและมุมมองจากผู้สื่อข่าว สรุปได้ดังนี้
ภูมิหลัง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่างๆ กลายเป็นรัฐชาติขึ้นมาในขณะที่ฮ่องกงยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษจนถึงปี ค.ศ. 1997 จากนั้นกลับเข้ามาอยู่ภายใต้รัฐชาติจีนภายใต้การปกครอง “หนึ่งประเทศ สองระบบ” โดยจีนแผ่นดินใหญ่มีการปกครองแบบสังคมนิยมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ใช้เศรษฐกิจระบบตลาด ส่วนฮ่องกงมีความเป็นทุนนิยมสูง มีอิสระในการปกครองตัวเอง ทำให้เกิดความย้อนแย้งในตัวระบบ ปัจจุบันภาพที่ผู้ชุมนุมโหยหาการเป็นอาณานิคมทำให้นักประวัติศาสตร์ตั้งคำถามกับการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่
ที่มาในประเด็นร่างกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ก่อนปี 1997 ฮ่องกงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ จึงใช้กฎหมายภายในของอังกฤษ เมื่อกลับสู่จีนได้มีความพยายามปรับกฎหมายให้เป็นของฮ่องกง ออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนของฮ่องกงเอง โดยจะส่งเมื่อมีการเซ็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่ผ่านมามีการเซ็นสนธิสัญญาฯ กับ 20 ประเทศ และมีจำนวนผู้ร้ายที่ส่งไปประมาณ 100 คน โดยส่งไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมากที่สุด
ประเด็นสำคัญคือ ถึงแม้อยู่ภายใต้ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ฮ่องกงก็มีกฎหมายของตัวเอง คือ Basic Law อีกทั้งจีนและฮ่องกง ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน เนื่องจากฮ่องกงขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของจีน ทำให้จีนไม่สามารถร้องขอให้ส่งผู้ร้ายไปได้
จุดเริ่มต้นของการประท้วงครั้งนี้
จุดเริ่มต้นของการประท้วงทั้งหมดมาจาก หนุ่มสาวชาวฮ่องกงคู่หนึ่งเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน ต่อมาฝ่ายชายฆาตกรรมแฟนสาวและกลับมาที่ฮ่องกง เนื่องจากการกระทำความผิดเกิดที่ไต้หวันทำให้ศาลฮ่องกงไม่มีเขตอำนาจพิจารณาคดี และฮ่องกงไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีนและไต้หวัน และโดยระบบกฎหมายของฮ่องกง ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ลำดับเหตุการณ์การประท้วง (ตามที่กล่าวถึงในการเสวนาครั้งนี้)
9 มิ.ย. 2562 – มีการประท้วงใหญ่ ชาวฮ่องกงออกมาเดินประท้วงไม่เห็นด้วยกับการร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนกว่าล้านคน แต่รัฐบาลฮ่องกงยังคงเดินหน้าพิจารณากฎหมายดังกล่าวต่อไป
12 มิ.ย. 2562 – ผู้ประท้วงบุกอาคารรัฐสภาฮ่องกง
15 มิ.ย. 2562 – รัฐบาลฮ่องกงประกาศระงับร่างกฎหมายดังกล่าว
จะส่งผู้ร้ายกลับไต้หวันอย่างไร?
ปัญหาอยู่ที่ไม่สามารถทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไต้หวันได้ เนื่องจากฮ่องกงอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของจีนแผ่นดินใหญ่ และตามระบบแล้ว ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน หากจะส่งไปไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ยอมเป็นแน่ ครั้นจะส่งไปที่จีนก็ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเจรจาเซ็นสนธิสัญญาฯ ได้สำเร็จ ดังนั้นนักกฎหมายจึงพิจารณาว่าจะให้แก้กฎหมายของฮ่องกง โดยให้พิจารณาส่งเป็นรายคดี จะทำให้สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
ฝั่งไต้หวันแสดงความไม่พอใจเนื่องจากกฎหมายนี้มีนัยว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ถึงแม้จะมีกฎหมายออกมา แต่ไต้หวันจะไม่ขอรับตัววัยรุ่นดังกล่าว และจะไม่ยอมรับกฎหมายนี้ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเพื่อให้สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปจีนได้
กระบวนการยุติธรรมของจีน
ตลอด 40 ปีที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมของจีนมีการพัฒนาอยู่ตลอด แต่จะเกิดปัญหาเมื่อมีคดีการเมือง เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์มีธงชัดเจนว่าต้องการผู้ร้ายคนใด เนื่องจากศาลจีนอยู่ภายใต้อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่ได้มีอิสระในการจัดการ ดังนั้นจึงเกิดความกังวลขึ้นทั่วไปในสังคมฮ่องกงว่า ใครเป็นศัตรูกับรัฐบาลจีนก็อาจจะถูกบังคับใช้กฎหมายให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไป และฮ่องกงจำเป็นต้องทำตาม
ข้อสังเกต
- กลุ่มผู้สนับสนุนกฎหมายนี้เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่มีจะร่างกฎหมายนี้ขึ้นมา เพราะประเทศอื่นก็มีเช่นกัน แต่ทั้งนี้ประเด็นกระบวนการยุติธรรมของจีนก็มีปัญหาจริง เช่น ที่ออสเตรเลียก็มีการร่างสนธิสัญญาฯ กับจีนเช่นกัน แต่ตกไปในท้ายที่สุด เนื่องด้วยความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของจีน
- ศาลฮ่องกงและผู้บริหารเขตฮ่องกงมีอำนาจที่จะไม่ส่งผู้ร้ายไป แต่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้เห็นว่า อย่างไรเสียศาลและผู้บริหารเขตฮ่องกงก็ไม่กล้าขัดอำนาจรัฐบาลจีน
“หนึ่งประเทศ สองระบบ” หมายความว่าอย่างไรในทางกฎหมาย
หนึ่งประเทศแต่มีระบบเศรษฐกิจและกฎหมายที่แตกต่างกันได้ โดยจีนแผ่นดินใหญ่ปกครองแบบสังคมนิยม และมีเศรษฐกิจแบบตลาด ส่วนฮ่องกงเป็นทุนนิยมและมีกฎหมายอิสระของตนเอง มีอิสระในการบริหารเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลจีนดูแลเพียงด้านการทหารและการต่างประเทศ ความพิเศษของระบบนี้คือ ความไม่ชัดเจน กล่าวคือ หนึ่ง จะคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแบบเดิมของชาวฮ่องกงไป 50 ปี ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้กล่าวว่าหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร สอง ในธรรมนูญการปกครองฮ่องกงมาตรา 45 และ 68 เขียนชัดเจนว่า จุดหมายปลายทางคือ Universal Suffrage (ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดและสภานิติบัญญัติฮ่องกง) แต่จะพัฒนาไปแบบค่อยเป็นค่อยไป และในกฎหมายก็ไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วจะบรรลุจุดหมายนั้นได้ในปีใด
ปี ค.ศ. 2007 สภาประชาชนแห่งชาติจีนประกาศว่าจะให้มี Universal Suffrage ในการเลือกตั้งผู้บริหารเขตฯ ฮ่องกงในปี ค.ศ. 2017 แต่ในปีค.ศ. 2014 ที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติร่ม อันเกิดจากการที่รัฐบาลปักกิ่งประกาศว่าให้เลือกตั้งได้ แต่ผู้สมัครจะต้องผ่านการคัดกรองจากปักกิ่งก่อน ดังนั้นจึงถือว่าไม่ใช่การเลือกตั้งที่แท้จริง เพราะต้องเลือกผ่านตัวแทนสองพันคนที่รัฐบาลจีนเลือกมา จึงเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติร่มและประเด็น Universal Suffrage ขึ้นมา รวมถึงการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง
กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนส่งผลอย่างไรต่อ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
ดร.อาร์มให้ความเห็นว่า การที่ประชาชนไม่เชื่อมั่นในกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น เนื่องจากเห็นว่าในเมื่อผู้นำสูงสุดของฮ่องกงอยู่ใต้อิทธิพลรัฐบาลจีนแล้ว หากมีการพิจารณาคดีเป็นรายคดี ทั้งศาลฮ่องกงและผู้นำสูงสุดจะกล้าปฏิเสธคำขอของรัฐบาลจีนได้อย่างไร ถึงแม้จะมีความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือเห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองส่วนหนึ่ง มีผู้เห็นว่าภายใต้กรอบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ที่จีนมีอิทธิพลมากกับรัฐบาลฮ่องกง จะทำให้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนถูกบิดเบือนและถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ ทั้งนี้ รศ.ดร.วาสนา ให้ความเห็นต่อว่า ดูเหมือนว่าการประท้วงต่างๆ จะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากประเด็น “หนึ่งประเทศ สองระบบ” กับ การเรียกร้อง Universal Suffrage แต่อย่างไรเสียก็วนมาเกี่ยวข้องกัน
ปฏิวัติร่มกับการประท้วงครั้งนี้เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ และนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน? ในทางกฎหมายประชาชนกำลังต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน?
“หนึ่งประเทศ สองระบบ” เป็นระบบที่ประนีประนอมกับทุกฝ่าย ฝ่ายหัวรุนแรงกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะความหมายคือท้ายที่สุดแล้วฮ่องกงจะกลายเป็นสังคมนิยม มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนอยู่ตลอดว่าหลังปี 1997 ชาวฮ่องกงจะได้ Universal Suffrage เมื่อใด แต่อันที่จริงแล้ว “50ปี ไม่เปลี่ยนแปลง” นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Universal Suffrage นอกจากนี้ ถึงแม้รัฐบาลปักกิ่งกล่าวว่าจะให้ประชาธิปไตยก็จริง แต่มิได้กำหนดช่วงเวลาไว้
ฮ่องกงในปี 2004 ประชาชนต่างออกมาเรียกร้องเรื่องการเลือกตั้งในปี 2012 ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2007 เป็นช่วงเวลาที่จีนค่อนข้างเปิดเสรี ทั้งด้านวิชาการและเสรีภาพสื่อ แต่ในทางกลับกัน ปัจจุบันจีนดำเนินแนวทางอนุรักษ์นิยมยิ่งกว่าเดิม และฮ่องกงก็มีภาพของความต้องการเป็นอิสระจากจีน การประท้วงครั้งนี้ก็เป็นจุดเล็กๆ ที่กระทบความสัมพันธ์จีน – ฮ่องกง
อย่างไรก็ดี ฮ่องกงเป็นที่ๆ น่าสนใจ เนื่องจากไม่เคยมีการเลือกตั้งในสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ แต่มีเสรีภาพค่อนข้างมาก กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการพูดและการประท้วงอย่างสงบ ต่างจากจีนที่ไม่มีเสรีภาพทางการเมือง ถึงแม้จะมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่มีการประกันสังคมพื้นฐานค่อนข้างดี อย่างน้อยทุกคนต้องมีบ้านและระบบประกันสุขภาพ ต่างจากฮ่องกงที่มีปัญหาเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นฮ่องกงจึงมีความกดดันจากทั้งทางการเมือง คือเรื่องสิทธิในการเลือกตั้ง และทางสังคม คือระบบประกันสังคม
บรรยากาศการประท้วงเมื่อปี 2014 แตกต่างจากครั้งล่าสุดหรือไม่ ?
นางสาวประภาภูมิกล่าวว่าตนไปทำข่าวที่ฮ่องกงเมื่อ 15 – 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แคร์รี แลมประกาศว่าจะระงับการผ่านร่างกฎหมายฯ ไว้ก่อน ทำให้ผู้คนออกมาประท้วงอีกเพื่อแสดงความไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐบาล
วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน บรรยากาศของการประท้วงเต็มไปด้วยความหวัง ผู้คนมองโลกในแง่ดี การประท้วงขับเคลื่อนไปด้วยความหวังว่ารัฐบาลจะยอมเปลี่ยนแปลง และต่างชาติจะได้ยินเสียงของชาวฮ่องกง จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบ 22 ปีที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีน เป็นการบ่งบอกว่าการประท้วงครั้งนี้ขับเคลื่อนด้วยความสิ้นหวัง วันที่ 9 กรกฎาคม ชาวฮ่องกงออกมาประท้วงจำนวนกว่า 1 ล้านคน แสดงให้เห็นว่า 1 ใน 7 ของประชาชนฮ่องกงไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และต่อมาเมื่อจำนวนผู้ประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รัฐบาลกลับไม่ตอบสนองใดๆ ทำให้เกิดความสิ้นหวังพร้อมกับยกระดับความรุนแรงของการประท้วงขึ้น จากการชุมนุมอย่างสงบเป็นการบุกทำลายทรัพย์สินรัฐบาล จนถึงขั้นปะทะกับตำรวจ
เหตุใดการประท้วงครั้งนี้จึงไม่สลายไปดังเช่นเมื่อครั้งปี 2014?
ปฏิวัติร่มเมื่อ 2014 รัฐบาลใช้วิธีรอไปเรื่อยๆ ทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ กินเวลาต่อเนื่องทำให้ผู้คนเหนื่อยล้า และเมื่อชาวฮ่องกงไม่ไปทำงานจึงเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้จำนวนผู้ประท้วงลดลงเรื่อยๆ อีกทั้งเมื่อปี 2014 มีแกนนำชัดเจน การประท้วงจึงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในปีนี้ผู้ประท้วงได้เรียนรู้ว่าไม่สามารถให้ระยะเวลายืดยาวเช่นเดิมได้ จึงเปลี่ยนกลวิธีมาเป็นการประท้วงทุกวันอาทิตย์ วันอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตปกติ ทำให้ผู้ประท้วงไม่เหนื่อยล้า
ดูเหมือนว่าการประท้วงครั้งนี้มีการจัดระเบียบในการรับมือกับการปะทะต่างๆ อย่างดี ทำให้ผู้สื่อข่าวรู้สึกว่าต้องมีแกนนำ?
จากคำบอกเล่าของผู้ประท้วงชาวฮ่องกง การประท้วงครั้งนี้ไม่มีแกนนำเช่นปี 2014 แต่ให้ผู้ประท้วงจัดการตามที่ตนถนัด เช่น ผู้รู้กฎหมายจัดการทำใบปลิวเผยแพร่ข้อมูลการประท้วง ผู้มีทุนทรัพย์ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แจกจ่าย ทุกคนมีจุดร่วมคือความรู้สึกของการทำเพื่อฮ่องกง ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในวิธีการจัดการต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีการควบคุมความรุนแรงของการประท้วง อย่างไรก็ดี ถึงแม้เกิดความแตกต่างทางความคิด บางกลุ่มเห็นชอบที่จะใช้ความรุนแรง แต่ผู้ประท้วงที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้แบ่งแยกกลุ่มที่คิดต่าง แต่มองว่าเป็นความรับผิดชอบของชาวฮ่องกงทั้งหมด
รศ.ดร.วาสนา ตั้งคำถามว่า การประท้วงในยุคอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ให้ภาพที่ถูกต้องและเป็นความจริงแค่ไหน และการรับรู้ของผู้คนมีความถูกต้องมากน้อยเท่าไร ดร.อาร์มให้ความเห็นว่า ประเด็นที่เป็นชนวนที่ทำให้การประท้วงยืดเยื้อคือ ความเชื่อใจระหว่างสองฝั่ง เพราะข่าวสารที่แต่ละฝั่งได้รับไม่เหมือนกัน ทำให้ความแตกแยกบานปลาย ทั้งที่รัฐบาลจีนได้ถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปแล้ว แต่ยังมีการประท้วงอยู่จนทุกวันนี้ เพราะการรับสื่อและการพยายามสร้างข่าวของทั้งสองฝ่าย ฝั่งผู้ประท้วงเห็นว่าตำรวจฮ่องกงทำเกินกว่าเหตุ ส่วนฝั่งรัฐบาลฮ่องกงเห็นว่าผู้ชุมนุมพยายามยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ฝั่งรัฐบาลจีนก็เสนอข่าวด้านลบของการประท้วง การรับสื่อที่แตกต่างและการพยายามชักจูงผู้คนให้เลือกข้างฝั่งตนเองของทั้งสองฝั่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้การประท้วงลุกลามมาถึงจุดนี้
การประท้วงครั้งนี้มีความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ประท้วงมากขึ้นจากสมัยปฏิวัติร่ม ?
หลายคนมองว่าครั้งนี้ศาลฮ่องกงใช้มาตรฐานเบาและไม่ได้ตั้งข้อหากับผู้ประท้วง แต่กลุ่มผู้ประท้วงกล่าวว่ายังมีการตั้งข้อหาและมีการขู่อยู่ตลอดว่าหากลุกลามมากกว่านี้ทางการจะใช้กระบวนการทางกฎหมายมาจัดการ ซ้ำรัฐบาลฮ่องกงยังยกเรื่อง Rule of Law และความสงบเรียบร้อยมาขู่ อย่างไรก็ดี จากข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงที่ให้ตั้งกรรมการอิสระตรวจสอบตำรวจฮ่องกงแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อตำรวจและรัฐบาลว่าไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
มีการถอดบทเรียนหรือพัฒนาการอย่างไรบ้างจากครั้งปฏิวัติร่ม
นางสาวประภาภูมิกล่าวว่าช่วงที่ตนไปฮ่องกงเป็นช่วงที่โจชัว หว่องถูกจับ ขณะเดียวกันก็มีความพยายามจากพรรคเดโมซิสโต(Demosistō) และนักเคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยในฮ่องกง พยายามที่จะบังคับทิศทางของการชุมนุมไม่ให้เกินเลย นอกจากนี้ยังมองว่าการตั้งข้อหาในปี 2014 นั้นมากเกินไปในแง่ของการประท้วง เมื่อมีการประท้วงครั้งนี้ขึ้นมา รัฐบาลฮ่องกงมองว่าเป็นการก่อความวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น หากดำเนินคดีจริงๆ แล้วจะได้รับโทษหนัก ทำให้แกนนำในการประท้วงเมื่อปี 2014 พยายามจะดึงสถานการณ์การประท้วงกลับมา ไม่ให้เลยไปถึงขั้นใช้ความรุนแรงหรือทำลายทรัพย์สินราชการไปมากกว่านี้ แต่เนื่องจากการประท้วงครั้งนี้ไม่มีแกนนำหลัก และผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงและการไร้แกนนำ ทำให้ผู้ประท้วงต่างทำตามความคิดตนโดยไม่ฟังแกนนำ เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วเมื่อปี 2014 ว่าเชื่อฟังแกนนำแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงครั้งที่ผ่านมา พรรคเดโมซิสโตเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง ดังนั้นถึงแม้จะมีบทเรียนจากปี 2014 แต่ก็ไม่ได้มีผลใดเพราะประชาชนไม่เชื่อฟังแกนนำแล้ว
รศ.ดร.วาสนา ได้สรุปไว้ว่า ภาพที่ออกมาจากสื่อจากแต่ละฝ่ายล้วนมีผลต่อการรับรู้และตัดสินของผู้รับสาร ทำให้เกิดความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือการเปรียบเทียบกับสถานการณ์อื่นในประเทศต่างๆ แต่จากมุมมองของทั้งดร.อาร์ม และนางสาวประภาภูมิได้ทำให้เห็นว่าการประท้วงครั้งนี้มีความซับซ้อนในรายละเอียดมากกว่าที่จะมาตัดสินว่าใครถูกผิด เพราะการประท้วงครั้งนี้มีผู้ประท้วงหลายกลุ่ม อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลฮ่องกง การมองภาพรวมของรัฐบาลปักกิ่ง และข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงเองก็มีรายละเอียดที่ซับซ้อนแตกต่างกันไป
นางสาวพิชชาภา ทุมดี (สรุปและเรียบเรียง)
ผู้ช่วยนักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยจีนศึกษา